23 ธันวาคม 2554

ประเทศไทยบทเรียนการเปลี่ยนแปลงการปกครองพร้อมปัญหาที่ตามมา บทที่1

             กบฏร.ศ. 103 สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

   ในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทางการได้สืบทราบมาว่ามีนายทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่งได้จัดตั้งสมาคม “อานาคิช” (Anarchist) มีสมาชิกประมาณ800-1,000 คน โดยสมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้ได้รับการศึกษาอย่างดี
                กลุ่มนี้มีจุดมุ่งหมายจะวางแผนเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยให้พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนกษัตริย์ของอังกฤษและญี่ปุ่น โดยมีแนวทางการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น 2 ทางดังนี้
1. “ลิมิเตดมอร์นากี” (Limited Monarchy) จะมีการดำเนินการสองอย่างคือ
                - ทำหนังสือกราบบังคมทูลโดยละม่อม
                - ยกกำลังล้อมวัง แล้วบังคับให้ทรงสละพระราชอำนาจมาอยู่ภายใต้กฎหมาย หรือเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินโดยทูลเชิญ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต หรือ สมเด็จพระน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้กฎหมาย



2. “รีพับบลิค” (Republic) จะทูลเชิญเสด็จพระเจ้าพี่ยาเธอกรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี
ทางการได้ทำการเข้าจับกุมตัวผู้สมคบคิดวางแผนการในตอนเช้าวันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2454
(ร.ศ. 103) โดยที่กบฏกลุ่มนี้ยังไม่ทันได้ลงมือทำตามแผนการที่วางไว้
                ชุดแรกที่ได้ถูกจับกุมได้แก่ นายร้อยเอกขุนทวยหารพิทักษ์ ผู้บังคับกองพยาบาลโรงเรียนทหารบก ถูกจับที่โรงเรียนนายร้อยมัธยม, นายร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง สังกัดกรมพระธรรมนูญทหารบก ถูกจับที่บ้านถนนสุรศักดิ์ และนายร้อยตรีเจือ ศิลาอาศน์ สังกัดกรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 ถูกจับที่กรมเสนาธิการทหารบกและนายทหารบกที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีที่ค้นพบที่บ้านขุนทวยหารพิทักษ์อีก 58 คน เมื่อมีการจับกุมได้มีการเขียนคำชี้แจงแบบซัดทอด ทำให้สามาถจับผู้ร่วมขบวนการได้อีกมากกว่าร้อยคน
                โดยสาเหตุที่กบฏร.ศ. 103 นี้ถูกจับกุมเนื่องจากขาดการวางแผนที่ชัดเจน ดำเนินการไม่รัดกุม ไม่กลั่นกรองผู้ที่จะเข้าเป็นสมาชิก พอเห็นใครรู้จักก็ชวนเข้าง่ายๆ ตั้งอยู่ในความประมาท ตลอดจนทรยศและซัดทอดกันเอง นายร้อยโทกินสุน ซึ่งเคยเข้าร่วมประชุมและให้การเป็นพยานฝ่ายโจทก์ก็ให้ความเห็นว่า
                “พวกที่คิดๆ โดยมากเป็นเด็กๆ มุทะลุ ตึงตัง ทำอะไรเห็นเป็นการสำเร็จทั้งนั้น”
                ในที่สุดคณะพิจารณาคดีก็ได้ตัดสินโทษของคดีนี้ โดยมีโทษหนักสุดคือประหารชีวิต 3 นาย คือ นายร้อยเอกขุนทวยหารพิทักษ์ ในฐานะเป็นคนต้นคิด, นายร้อยโทจรูญ ณ บางช้าง ซึ่งเป็นผู้จัดหาอาวุธ และนายร้อยตรีเจือ ศิลาอาศน์
                แต่ด้วยพระกรุณาธิคุณของสมเด็จพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงลดโทษให้เหลือแค่จำคุกตลอดชีวิต
                และนี่ถือเป็นสัญญาณอันเด่นชัดว่ากลิ่นไอของการปฏิวัติได้คืบคลานมาใกล้แล้ว
..........

ติดตามตอนต่อไป...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น